วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2556



อาหารเสริมบำรุงผิว



อยากมีผิวสวยเนียนกระชับ วันนี้เรามีตัวอย่างอาหารเสริมบำรุงผิวมาฝากคุณผู้หญิงทั้งหลายที่ใส่ใจในผิวพรรณและสุขภาพค่ะ 

อยากมีผิวสวยเนียนกระชับ วันนี้เรามีตัวอย่างอาหารเสริมบำรุงผิวมาฝากคุณผู้หญิงทั้งหลายที่ใส่ใจในผิวพรรณและสุขภาพค่ะ 
        อาหารเสริมบำรุงผิว 6 ชนิด ที่เรากำลังจะแนะนำต่อไปนอกจากจะทำให้คุณมีผิวพรรณเปล่งปลั่งดูสุขภาพดีจากข้างในแล้วยังช่วยให้ผิวของคุณขาวขึ้นอย่างได้ผลจนคนรอบข้างอาจจะสะดุดตาไปเลยค่ะ
อาหารเสริมบำรุงผิว 6 ชนิด
และด้วยคุณสมบัติดังกล่าวที่มีอยู่ในอาหารเสริมเพื่อผิวสวยชั้นนำทรงประสิทธิภาพ ให้ผลลัพธ์ที่ดีและรวดเร็วกว่าในการลดริ้วรอยหมองคล้ำเหี่ยวย่น พร้อมกับบำรุงผิวให้ขาวเนียน เปล่งปลั่ง กระจ่างใส ดูอ่อนวัย มีชีวิตชีวาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน สารอาหารสำคัญที่มีคุณค่าจำเป็นต่อการบำรุงผิวครบถ้วนทั้ง 6 ชนิด ไม่ว่าจะเป็น

1. โปรตีนจากปลาทะเลลึก (Marine Protein) แถบประเทศนอร์เวย์ประกอบด้วยอณูอะมิโนจำเป็นต่อร่างกาย 18 ชนิด และมีอณูอะมิโนชนิดพิเศษคือ Peptoaminoglycan ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอิลาสตินทั้งด้านปริมาณและคุณภาพอันจะช่วยให้ผิวแต่งตึง เปล่งปลั่ง กระชับ เรียบเนียน และนวลนุ่มชุ่มชื่น

2. โคเอ็นไซม์คิวเทน (Coenzyme Q 10) สารอาหารช่วยเสริมพลังงานให้กับเซลล์ผิวต้านอนุมูลอิสระต้นเหตุของการเสื่อมสภาพและแก่ก่อนวัยของเซลล์ต่าง ๆ ทั้งยังช่วยลดและชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัยที่เกิดจากแสงแดดช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์สดใสมีชีวิตชีวา

3. สารสกัดจากเปลือกสนมาริไทม์ฝรั่งเศส (French Maritime Pine Bark) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอย่างยิ่งยวด (Super Antioxidant) ช่วยต้านความชราของผิวพรรณยับยั้งการเกิดเม็ดสีที่ผิดปกติต้นเหตุของฝ้า กระ ความหมองคล้ำ ทำให้ผิวขาวเนียนสดใส และมีเลือดฝาด

4. วิตามินซี (Vitamin C) สารต้านอนุมูลอิสระลดอาการหมองคล้ำ ความร่วงโรย เสริมสร้างปริมาณและความแข็งแรงของคอลลาเจน ช่วยให้โครงสร้างผิวพรรณแข็งแรงสุขภาพดีมีความยืดหยุ่นกระชับและขาวเนียนใส

5. วิตามินอี (Vitamin E) สารต้านอนุมูลอิสระอีกตัวหนึ่งยับยั้งความเสื่อมชราของเซลล์ต่าง ๆ ช่วยให้ผิวพรรณเนียนนุ่มชุ่มชื่น สดใสและดูอ่อนวัย

6. สารสกัดจากชาเขียว (Green Tea Extract) มีสาระสำคัญคือ คาเตซินช่วยต้านอนุมูลอิสระทำให้กลไกในการฟื้นฟูสภาพผิวทำงานได้ดีสามารถขับถ่ายและล้างพิษออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น



  

คุณผู้ชายควรฟัง 10 อาหารเสริมดีๆ ที่คุณควรทาน


ใช่ว่าจะมีแต่คุณสาวๆ เท่านั้นที่สนใจในอาหารเสริม ปัจจุบันคุณผู้ชายก็หันมาสนใจตัวเองกันมากขึ้น และบางคนชอบที่จะทานอาหารเสริมเพื่อให้ตัวเองดูดี และแข็งแรงมากยิ่งขึ้น งั้นเราไปดูอาหารเสริมที่คุณผู้ชายควรทานกัน
         ใช่ว่าจะมีแต่คุณสาวๆ เท่านั้นที่สนใจในอาหารเสริม ปัจจุบันคุณผู้ชายก็หันมาสนใจตัวเองกันมากขึ้น และบางคนชอบที่จะทานอาหารเสริมเพื่อให้ตัวเองดูดี และแข็งแรงมากยิ่งขึ้น งั้นเราไปดูอาหารเสริมที่คุณผู้ชายควรทานกัน 
 
คุณผู้ชายควรฟัง 10 อาหารเสริมดีๆ ที่คุณควรทาน

คุณผู้ชายควรฟัง 10 อาหารเสริมดีๆ ที่คุณควรทาน

อาหารเสริมในปัจจุบันมีมากมายหลายแบบให้คุณได้ลองเลือกรับประทานกัน ซึ่งคุณสาวๆ ก็มักจะสนใจกับอาหารเสริมเหล่านี้เสียด้วย แต่ใช่ว่าคุณผู้หญิงเท่านั้นที่สนใจ

เดี๋ยวนี้คุณผู้ชายก็หันมาสนใจ และเอาใจใส่ตัวเองกันมากขึ้น และอาหารเสริมตัวไหนล่ะที่เหมาะกับคุณผู้ชาย วันนี้เรามีข้อมูลดีๆ ที่ช่วยให้คุณผู้ชายทานอาหารเสริมได้อย่างไม่ต้องกังวล มาฝากกันค่ะ
 
1. กรดโฟลิก(Folic Acid)
มีคุณสมบัติช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจวายเฉียบพลัน และอาการเส้นเลือดในสมองแตกในผู้ชายคุณจึงควรหันมาให้ความสนใจกินอาหารที่มีกรดโฟลิก ซึ่งมีอยู่มากในผักใบเขียวทุกชนิด หรือหากต้องการ
บริโภคอาหารเสริมประเภทกรดโฟลิก การกินอาหารเสริมประเภทนี้ทำตามคำแนะนำของแพทย์จะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด

2. กระเทียม (Garlic)
ช่วยลดความดันเลือด ลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย และช่วยในเรื่องการไหลเวียนของเลือดได้ นอกจากนี้การบริโภคกระเทียมเป็นประจำจะให้ผลต้านไวรัส ช่วยลดความเสี่ยงในเรื่องเส้นเลือดสมองแตก และลดความ
เสี่ยงของการเกิดอาการหัวใจวาย และหากกินกระเทียมชนิดสดหรือกระเทียมที่นำไปปรุงอาหารเป็นประจำได้จะเป็น การดีกว่า อาหารเสริมประเภทกระเทียม ควรจะเป็นทางที่สองสำหรับคุณ
 
3. สังกะสี (Zinc)
คุณอาจไม่ทราบว่าผู้ชายเป็นเพศที่สูญเสียปริมาณสังกะสีในร่างกายได้ง่าย เพราะทุกครั้งที่มีการหลั่งน้ำอสุจิ สังกะสีปริมาณ 5 มิลลิกรัมซึ่งเป็นปริมาณมากถึง 1 ใน 3 ของปริมาณสังกะสีที่ร่างกายต้องการต่อวันจะถูกขับออกจากร่างกาย ดังนั้น ผลเสียที่ตามมาจากการที่ร่างกายขาดสังกะสีก็คือ ความต้องการทางเพศลดลง และโอกาสที่จะเป็นหมันสูง รวมทั้งสูญเสียประสิทธิภาพในการดมกลิ่นและรับรส แหล่งที่มาของอาหารเสริมชนิดนี้ได้แก่ อาหารทะเลจำพวกหอยนางรม ถั่ว เมล็ดพืช ธัญพืช และเนื้อสัตว์ ส่วนข้อควรระวังสำหรับการกินแร่ธาตุประเภทสังกะสีก็คือ ในกรณีที่คุณบริโภคสังกะสีมากกว่าวันละ 25มิลลิกรัม เป็นประจำอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการคลื่นไส้และท้องผูกตามมา

4. โสม (Ginseng)
มีประสิทธิภาพในการช่วยฟื้นฟูพลังงานทั้งร่างกายและสภาวะจิตใจ เมื่อคุณอยู่ในอาการที่เคร่งเครียด โสมจะช่วยให้ระดับกลูโคสอยู่ในระดับเป็นปกติ ทำให้ร่างกายไม่อ่อนเพลีย ช่วยให้มีสมาธิในการทำงานดีขึ้น จาก
การวิจัย โสมยังช่วยยืดอายุเซลล์ และมีประสิทธิภาพในการเพิ่มระดับฮอร์โมนเทส-โทสเตอโรนในเพศชายได้เป็นอย่างดี
 
5. น้ำมันปลา (Omega 3)
จากการศึกษาพบว่า โอเมก้า 3 มีกรดไขมันที่สำคัญหลายชนิดสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันเลือดสูง มีผลในการรักษาโรคที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรัง และช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย แหล่งที่มาของสารอาหารประเภทน้ำมันปลาตามธรรมชาติ ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาแมคคอเรล ปลาเฮอร์ริ่ง ปลาซาร์ดีน และปลาที่มีไขมันต่ำ แต่หากบริโภคในปริมาณที่มากเกินไป น้ำมันปลาก็จะเข้าไปเพิ่มระดับน้ำตาลซึ่งเป็นอันตรายสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน
6. กลูโคซามีน ซัลเฟต (Glucosamine Sulfate)
มีคุณสมบัติช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของไขข้อ การสร้างกระดูกอ่อน มีประสิทธิภาพในการป้องกันข้อต่อต่างๆ ในร่างกาย สามารถช่วยซ่อมแซมไขข้อกระดูกอ่อน บรรเทาอาการเอ็นยึด และอาการกระดูกสันหลังเคลื่อน มีประโยชน์อย่างมากเมื่อใช้ในผู้ชายที่มีอาการปวดหลัง ข้ออักเสบ หรือบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา

7. สารสกัดจากผลปาล์มอเมริกันแคระ ซอว์ พาลเม็ตโต (Saw Palmetto)
สารสกัดจากผลปาล์มอเมริกันแคระ ช่วยบรรเทาอาการต่อมลูกหมากโตชนิดไม่รุนแรง และช่วยกระตุ้นการหดตัวของต่อมลูกหมาก แต่ข้อเสียของสารสกัดชนิดนี้คือผลข้างเคียงที่จะทำให้คุณปัสสาวะบ่อยขึ้น นอกจากนี้
หากยังไม่แน่ใจในวิธีการเลือกรับประทาน คุณควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะซื้อหามาบริโภคด้วยตนเอง
คุณผู้ชายควรฟัง 10 อาหารเสริมดีๆ ที่คุณควรทาน

8. แคตส์ คลอว์ (Cats Claw)
เป็นสารสกัดจากพืชชนิดหนึ่ง พบในอเมริกาใต้ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์และกำจัดเซลล์ผิดปกติ แถมยังป้องกันการอักเสบการติดเชื้อไวรัส ป้องกันมะเร็งและช่วยให้การทำงาน
ของเซลล์เม็ดเลือดขาวดีขึ้น

9. มิลค์ ทิสเซิล (Milk Thistle)
เป็นของเหลวจากพืชชนิดหนึ่ง ช่วยป้องกันตับเป็นพิษจากปริมาณของแอลกอฮอล์ที่มากเกินไป รวมทั้งช่วยสร้างเซลล์ตับขึ้นมาใหม่ จากการที่ตับถูกทำร้ายด้วยไวรัสหรือตับเป็นพิษ ดังนั้น การกินมิลค์ ทิสเซิล มัน
จะเหมาะสำหรับผู้ชายที่ชอบดื่มหนักเป็นประจำ

10. อาหารเสริมกลุ่มแอนติออกซิ-แดนท์ (Antioxidants)
อาหารเสริมกลุ่มนี้มีคุณสมบัติช่วยต้านหรือลดการทำงานของอนุมูลอิสระ ไม่ให้เกิดการเผาผลาญหรือไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกายมากเกินไป โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ชายที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ รวมทั้งมลพิษต่างๆ ในสภาวะแวดล้อมที่คุณต้องเผชิญ อาหารเสริมที่มีความจำเป็นในการใช้เพื่อต่อต้านสารอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินอี วิตามินซี และซีลีเนียม

นอกจากนี้ ผลการวิจัยจากหลายสถาบันยังกล่าวด้วยว่า ผู้ชายที่กินซีลีเนียมวันละ 200 มิลลิกรัมเป็นประจำ มีโอกาสเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ลำไส้ ปอด รวมทั้งมะเร็งอื่นๆ น้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กินซีลีเนียม
เป็นประจำกว่าร้อยละ 50

อาหารเสริมจำเป็นไหม


กระแสความตื่นตัวของอาหารเสริมแพร่หลายไปทั่ว  คนจำนวนมากหันมาเพิ่มพลังให้ร่างกายด้วยการกินอาหารเสริม  เพราะมีให้เลือกทานอย่างมากมาย
         กระแสความตื่นตัวของอาหารเสริมแพร่หลายไปทั่ว คนจำนวนมากหันมาเพิ่มพลังให้ร่างกายด้วยการกินอาหารเสริม เพราะมีให้เลือกทานอย่างมากมาย 
ทำไมต้องกินอาหารเสริม วิตามินที่นิยมกันมาก คือสารในกลุ่มที่เรียกว่า แอนตี้ออกซิแดนต์ ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารอาหารที่พร้อมเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ซึ่งพบมากในแครอต แคนตาลูป มะเขือเทศ และบร็อกโคลี่ โดยคนส่วนใหญ่เชื่อว่าสารแอนตี้ออกซิแดนต์จะช่วยในการขจัดอนุมูลอิสระที่เป็นตัวสร้างให้เกิดความเสื่อมขึ้นกับเซลล์เนื้อเยื่อและเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพตามมามากมาย รวมทั้งอาจช่วยป้องกันโรคหัวใจและมะเร็งได้ โดยมีการค้นพบว่าอาหารที่อุดมด้วยเบต้าแคโรทีน จะช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งที่ปอด ลำไส้ใหญ่ ต่อมลูกหมาก และปากมดลูก
สาเหตุที่วิตามินและอาหารเสริมเป็นที่นิยมอย่างมากในขณะนี้ สาเหตุหลักมาจากปรากฏการณ์รักสุขภาพ ที่หมายรวมถึงสุขภาพร่างกายและใจ ยิ่งผลิตภัณฑ์ตัวไหนมีคนดังเป็นพรีเซ็นเตอร์สนับสนุนด้วยแล้ว ยอดขายจะยิ่งพุ่งสูงขึ้นทันที และดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่ที่ชื่นชอบและหันมากินวิตามิน แร่ธาตุ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนั้นเป็นเพราะช่วยให้รู้สึกว่าเป็นการลดความเสี่ยงต่อโรคภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงต้องการกินวิตามิน และพร้อมจะทดลองตัวใหม่ๆ ต่อไป
กินเกินความจำเป็นหรือไม่ รายงานจากการวิจัยยืนยันว่าผู้ที่กินอาหารเสริมเป็นประจำมักจะกินอาหารที่มีวิตามินและเกลือแร่ในปริมาณที่เพียงพออยู่แล้ว และมากกว่าผู้ไม่ได้กินอาหารเสริม เนื่องจากผู้คนมักกังวลว่าจะไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอจากอาหารที่กินเป็นประจำ ดังนั้นจึงเพิ่มสารอาหารด้วยการกินวิตามินรวม เป็นไปได้ว่าทุกวันนี้นเราอาจบริโภคอาหารเสริมกันเกินความจำเป็น เช่น การกินน้ำมันตับปลาชนิดที่เสริมด้วยวิตามินเอ และวิตามินดี หรือกินวิตามินอี ร่วมกับแร่ธาตุเสริมอีกหลายชนิดหรือสารสกัดจากชาเขียว เป็นต้น นักโภชนาการไม่วิตกในเรื่องที่คนส่วนใหญ่อาจจะบริโภควิตามินและสารเสริมอาหารในจำนวนที่มากกว่าปริมาณที่กำหนดถึงร้อยละ 200 ในแต่ละวัน แต่ในกรณีที่มากเกินกว่านั้นจะทำให้เรามีน้ำปัสสาวะที่ราคาแสนแพงทีเดียว
มีการศึกษาถึงการวัดปริมาณการขับถ่ายวิตามินซีในร่างกายพบว่า ในปริมาณ 100 มิลลิกรัม ร่างกายจะดูดซึมวิตามินซีไว้ได้ถึงร้อยละ 80 ในขณะที่ความสามารถในการดูดซึมอยู่ที่ร้อยละ 46 ต่อปริมาณ 1,000 มิลลิกรัม โดยทั่วไปสภาวะของร่างกายจะจำกัดปริมาณการนำเข้าของสารอาหารต่างๆ โดยธรรมชาติอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องบริโภคเกินกว่าความต้องการของร่างกาย
ควรบริโภคอย่างไร วิตามินที่ละลายในไขมันคือ วิตามินเอ ดี อี และเค เป็นวิตามินที่ร่างกายสามารถสะสมในร่างกายได้ ควรกินร่วมกับอาหารที่มีไขมัน หรือหลังอาหาร เพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้ในปริมาณสูงสุด แต่สำหรับผู้ที่ไม่สะดวกที่จะกินในรูปของยาเม็ดหรือมีปัญหาเรื่องระบบย่อยหรือการดูดซึม อาจหันมาใช้วิธีฉีด หรือพ่นสเปรย์ วิตามินเอ ดี และอี ควรกินแค่วันละมื้อก็พอ ส่วนวิตามินที่ละลายในน้ำอย่างเช่น วิตามินบีรวม (ยกเว้นวิตามินบี 12) และวิตามินซี เป็นวิตามินที่ร่างกายไม่อาจสะสมไว้ใช้ได้ สามารถกินได้ทุก 4-6 ชั่วโมง หรือจะกินแค่วันละมื้อก็ได้ แต่ไม่ควรกินร่วมกับยาปฏิชีวนะ และแอลกอฮอล์เพราะจะไปยับนั้งการดูดซึม นอกจากนี้ความเครียดยังทำให้ร่างกายไม่อาจดูดซึมวิตามินประเภทนี้ไปใช้งานได้อีกด้วย ควรคำนวณให้เหมาะสมกับปริมาณที่ร่างกายต้องการและไม่ควรกินเกินความจำเป็น การกินวิตามินร่วมกันหลายๆ อย่างหรือเป็นระยะเวลานานๆ อาจทำให้ได้รับวิตามินบางตัวมากเกินโดนไม่รู้ตัว ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร กินอย่างสมดุล มีการค้นพบสารอาหารต่างๆ มากกว่า 100 ชนิด และกำลังถูกค้นพบมากขึ้นทุกวัน ถึงแม้ว่าสารเหล่านี้จะไม่ใช่สิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตโดยตรง แต่ก็มีผลให้การทำงานของร่างกายเป็นไปด้วยดี และเป็นสิ่งที่ร่างกายสร้างขึ้นเองไม่ได้ ดังนั้นการกินอาหารที่หลากหลาย และได้สมดุลจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ได้วิตามิน เกลือแร่ และสารอาหารกึ่งจำเป็นเหล่านี้ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เนื่องจากทั้งเส้นใยอาหาร ไขมัน โปรตีน และเอนไซม์ต่างๆ ในอาหารจะช่วยดูดซึมวิตามินได้อย่างดี ในอาหารแต่ละมื้อ หนึ่งในสามส่วนควรเป็นผักหรือผลไม้ อีกหนึ่งในสามควรเป็นอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต ซึ่งอาจเป็นข้าว ขนมปัง อาหารประเภทเส้น เช่น ก๋วยเตี๋ยว พาสต้า สปาเกตตี้ เป็นต้น สำหรับหนึ่งในสามส่วนสุดท้ายควรเป็นปลาหรือเนื้อสัตว์อื่นๆ และทางที่ดีควรกินอาหารให้มีความหลากหลาย จึงจะได้ประโยชน์มากกว่า
ปริมาณที่เหมาะสม โดยทั่วไปสารหลักๆ ที่ร่างกายต้องการพบได้ในอาหารต่างๆ ที่เรากินอยู่ประจำ ทั้งนี้องค์การอนามัยโลกร่วมกับองค์กรที่เกี่ยวข้องด้านโภชนาการได้ร่วมกันจัดทำรายงานเกี่ยวกับปริมาณวิตามินและเกลือแร่ที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวันหรือที่เรียกว่า RDA (Recommended Daily Allowance) ซึ่งเป็นค่าแนะนำปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน วิตามินเอ / RDA : ผู้หญิง 600 ไมโครกรัม แม่ที่กำลังให้นมบุตร 950 ไมโครกรัม ผู้ชาย 700 ไมโครกรัม พบมากในส้ม ผักผลไม้สีเหลืองและสีแดง เช่น แครอต มะเขือเทศ พริกไทยเหลือง แคนตาลุป แตงโม มะม่วง และแอปริคอต และผักสีเขียวเข้ม เรตินอลจากตับ ผลิตภัณฑ์นม วีส และเนย วิตามินดี / RDA : ควรได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ ถ้าอยู่ในร่มควรได้รับ 10 ไมโครกรัม พบในน้ำมันตับปลา ไข่แดง มาร์การีน วิตามินอี / RDA : ผู้หญิงอย่างน้อย 3 มิลลิกรัม ผู้ชายอย่างน้อย 4 มิลลิกรัม พบในน้ำมันพืช ถั่วต่างๆ เมล็ดพืช เช่น เมล็ดทานตะวัน ธัญพืช วิตามินเค/ RDA : 1 ไมโครกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม มีมากในกะหล่ำปลี ผักปวยเล้ง วิตามินซี / RDA : 40 มิลลิกรัม ผู้สูบบุหรี่อย่างน้อย 80 มิลลิกรัม อยู่ในผลไม้สดต่างๆ โดยเฉพาะผลไม้รสเปรี้ยว ผักสีเขียว และมะเขือเทศ กลุ่มวิตามินบี - ไธอามีน (วิตามินบี 1)/RDA : ผู้หญิง 0.8 มิลลิกรัม ผู้ชาย 1 มิลลิกรัม มีมากในธัญพืช ถั่วต่างๆ และเมล็ดจากฝัก ผักสีเขียว และเนื้อหมู - ไรโบฟลาวิน (วิตามินบี 2 หรือที่เรียกว่าวิตามินจี)/RDA : ผู้หญิง 1.1 มิลลิกรัม ผู้ชาย 1.3 มิลลิกรัม พบมากในตับ นม ชีส โยเกิร์ต ไข่ ผักใบเขียว - ไนอาซิน (กรดนิโคตินซึ่งอยู่ในกลุ่มวิตามินบีรวม)/RDA : ผู้หญิง 13 มิลลิกรัม ผู้ชาย 17 มิลลิกรัม มีในตับ เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อแกะ และปลา - วิตามินบี 12/RDA : 1.5 ไมโครกรัม มีมากในเครื่องในสัตว์ เนื้อวัว รวมทั้งไข่และเนย ( กรดโฟลิก)/RDA : 200 ไมโครกรัม ผู้หญิงตั้งครรภ์ 300 ไมโครกรัม (และอีก 400 ไมโครกรัมในช่วงตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์แรก) มีมากในตับ น้ำส้ม บร็อกโคลี่ ผักปวยเล้ง - วิตามินบี 6/RDA : ผู้หญิง 1.2 มิลลิกรัม ผู้ชาย 1.4 มิลลิกรัม มีมากใน เนื้อวัว และเนื้อสัตว์ปีก
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แม้จะมั่นใจว่าร่างกายได้รับสารอาหารต่างๆ อย่างเพียงพอแล้ว แต่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ ก็ยังเป็นสิ่งที่มีประโยชน์และไม่ควรมองข้าม น้ำมันปลา (Fish Oils) ประกอบด้วยโอเมก้า 3 สาร EPA และ DHA ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย รวมทั้งโรคผิวหนังอักเสบ และโรคผื่นแพ้ทางผิวหนังบางชนิด นอกจากนี้น้ำมันปลายังมีผลต่อการป้องกันโรคหัวใจ และปัญหาจากระบบประสาทผิดปกติอีกด้วย ไอโซฟลาโวเนส (Isoflavones) ที่อยู่ในถั่วเหลืองจะมีคอเลสเตอรอลต่ำว่า ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมผู้หญิงญี่ปุ่นและผู้หญิงจีนจะมีอัตราการเกิดมะเร็งเต้านมต่ำ โดยมีตัวเลขบ่งชี้ว่าได้รับไบโอฟลาโวเนสอย่างน้อยวันละ 20-560 มิลลิกรัม สารสกัดใบแปะก๊วย (Ginkgo Biloba) สารสกัดจากใบแป๊ะก๊วยมีผลในการกระตุ้นการทำงานของสมอง ทำให้มีสมาธิดีขึ้น ช่วยให้สมองตื่นตัวและความจำดีขึ้น ไลโคปีน (Lycopene) สารแอนตี้ออกซิแดนต์ในมะเขือเทศช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ ในช่องท้อง และมะเร็งในช่องปาก นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ พบว่าผู้หญิงที่บริโภคอาหารที่มีส่วนผสมของสารนี้ในปริมาณมากอย่างน้อยวันละ 5 ครั้ง จะช่วยยับยั้งการก่อตัวของมะเร็งปากมดลูกได้ ซึ่งการกินในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมจะยิ่งสะดวกกว่ากินมะเขือเทศวันละ 5 มื้อ

ในวัยทำงานอาหารมีส่วนช่วยให้คุณมีพลังงานหลายๆ ด้านในการจดจำ หรือการทำงานต่างๆ อาหารที่ดีและมีประโยชน์จะช่วยให้คุณทำงานทุกวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอาหารที่เหมาะสำหรับวันทำงานแบบเราเป็นอย่างไรไปดูกัน
         ในวัยทำงานอาหารมีส่วนช่วยให้คุณมีพลังงานหลายๆ ด้านในการจดจำ หรือการทำงานต่างๆ อาหารที่ดีและมีประโยชน์จะช่วยให้คุณทำงานทุกวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอาหารที่เหมาะสำหรับวันทำงานแบบเราเป็นอย่างไรไปดูกัน 
 
วิตามินและสารอาหารที่เหมาะกับคนทำงาน
 

วิตามินและสารอาหารที่เหมาะกับคนทำงาน

วิตามินกินอย่างไรให้ถูกวิธี

ในวัยทำงาน หรือผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 20-59 ปีโดยประมาณ เป็นวัยทำงานที่ต้องการพลังงานเป็นพิเศษ ซึ่งสารอาหารที่ได้รับจากการทานอาหารทุกวันจะต้องมีประโยชน์และให้พลังงานที่มีคุณค่าได้มากที่สุด เพราะเมื่อคุณมี
อายุที่มากกว่า 30 ปีขึ้นไป คุณเองก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ความแข็งแรงต่างๆ ไม่ว่าจะดล้ามเนื้อ กระดูก ผิวพรรณ หรือแม้นกระทั้งริ้วรอย ผิวหนังที่เหี่ยวห่น ผมเริ่มเป็นสีขาว การเปลี่ยนแปลงเหลานี้ส่งผลให้
ร่างกายของคุณค่อยๆ เสื่อมสภาพ และตัวช่วยในการชะลอความเสื่อมสภาพก็คือ การทานอาหาร ที่มีประโยชน์มากที่สุด เหล่านี้ค่ะ
  • วิตามินและแร่ธาตุรวมทุกวัน การได้รับวิตามินในปริมาณที่มากกว่าความต้องการของร่างกายจะสามารถป้องกันการขาดวิตามินและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ หลังจากนั้นอาจเสริมสารอาหารอื่นตามความจำเป็นของแต่ละคน
  • น้ำมันปลา (Fish Oil) โอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ การได้รับน้ำมันปลา 2,000-3,000 มิลลิกรัมต่อวัน ช่วยลดไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ ลดความดันโลหิต ทำให้เลือดไหลเวียนดี ป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ป้องกันความเครียดและอารมณ์หดหู่
  • เลซิติน ( Lecithin) ส่วนใหญ่สกัดได้จากถั่วเหลือง มีส่วนช่วยเสริมในการทำงานของประสาท ช่วยให้การประสานงานระหว่างเซลล์ประสาทเป็นไปได้ดี ควรได้รับวันละ 2,400-3,600 มิลลิกรัม
  • โคเอนไซม์ คิวเทน (Co-enzyme Q10) ช่วยส่งเสริมพลังงานในร่างกายของเซลล์ ทุกเซลล์ในร่างการต้องการ คิวเทน เป็นองค์ประกอบสำคัญในการเผาผลาญพลังงาน วัยที่เพิ่มขึ้นร่างกายจะสร้างคิวเทนลดลง ควรเสริมวันละ 50-100 มิลลิกรัม
  • โสมสกัด ช่วยให้ร่างกายไม่อ่อนเพลีย ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาทส่วนกลาง ทำให้กระชุ่มกระชวยมีคุณสมบัติเป็นยาบำรุงกำลัง กล้ามเนื้อแข็งแรง โสมเป็นสมุนไพรให้ผลโดยกว้าง โดยทั่วไปต้านทานการเกิดโรคช่วยเจริญอาหาร ลดอาการนอนไม่หลับหรือลดความเครียด
  • วิตามินบี มีส่วนสำคัญในการบำรุงสมองและระบบประสาทได้ดี มีผลวิจัยพบว่าการได้รับวิตามินบีปริมาณสูงพอ ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง ลดความเครียด เสริมให้เกิดการเผาผลาญพลังงานในเซลล์ ให้ร่างกายรู้สึกมีพลัง
  • วิตามินซี การรับประทานเป็นประจำจะช่วยชะลอความแก่และป้องกันโรคต่างๆ ที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายควรได้รับ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
  • กระเทียมสกัด ช่วยลดไขมันและไตรกลีเซอร์ไรด์ และไขมันโคเลสเตอร์รอลในเลือด ทำให้ภูมิต้านทานร่างกายดีขึ้น ปริมาณที่พอเหมาะ วันละ 2-5 มิลลิกรัม
สารอาหารเหล่านี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการสร้างสุขภาพที่ดี นอกจากนี้แล้วการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ มองโลกในแง่ดี ทำจิตใจให้แจ่มใสเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการคงไว้ซึ่งสุขภาพที่ดี

วิตามินกินอย่างไรให้ถูกวิธี

วิตามินที่ร่างกายได้รับส่วนใหญ่มาจากอาหารที่เราทานเข้าไป และส่วนหนึ่งร่างกายสังเคราะห์ขึ้นเอง วิตามินที่ดีจึงต้องสกัดจากอาหาร
         วิตามินที่ร่างกายได้รับส่วนใหญ่มาจากอาหารที่เราทานเข้าไป และส่วนหนึ่งร่างกายสังเคราะห์ขึ้นเอง วิตามินที่ดีจึงต้องสกัดจากอาหาร 

วิตามินที่ร่างกายได้รับส่วนใหญ่มาจากอาหารที่เราทานเข้าไป และส่วนหนึ่งร่างกายสังเคราะห์ขึ้นเอง วิตามินที่ดีจึงต้องสกัดจากอาหาร ถึงอย่างไร เราก็ไม่กินวิตามินแทนอาหาร และวิตามินก็ไม่ใช่ยา แต่เป็นสารสกัดจากสิ่งมีชีวิต (Organic) ที่จำเป็นสำหรับร่างกาย  มีหน้าที่ช่วยให้การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ถูกต้อง และช่วยให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้ เพราะถ้าขาดวิตามินแล้วร่างกายจะหยุดทำงาน  
ในที่นี้จะขอเล่าถึงวิตามินบางตัวที่มีความสำคัญต่อภูมิชีวิต (Immune System) เรา ซึ่งเป็นที่รู้จักก็คือ วิตามินในกลุ่มแอนติออกซิแดนท์ ได้แก่ A, C, D และ E


  วิตามิน A
พบใน น้ำมันตับปลา ผักสีต่างๆ เช่น แครอท ผักโขม และหัวบีทรู้ท
ประโยชน์
  • ช่วยบำรุงสายตา และแก้โรคตามัวตอนกลางคืน
  •  ช่วยให้กระดูก ผม ฟัน และเหงือกแข็งแรง
  • สร้างความต้านทานให้แก่ระบบหายใจ
  • ช่วยสร้างภูมิชีวิตให้ดีขึ้น และทำให้หายป่วยเร็วขึ้น
  • ช่วยในเรื่องของผิวพรรณ ลดอาการอักเสบของสิว ช่วยลบจุดด่างดำ และจุดวัยสูงอายุ
  •  ช่วยบรรเทาโรคเกี่ยวกับไทรอยด์
ปริมาณที่แนะนำ
  • ผู้ชายควรกินอาหารที่มีวิตามิน A 1,000 R.E. หรือเท่ากับ 5,000 I.U. ต่อวัน
  • ผู้หญิงควรกินอาหารให้ได้วิตามิน A 800 R.E. หรือ 4,000 I.U. ต่อวัน
  • หากกำลังตั้งครรภ์ควรกินเพิ่มเป็น 1,000 R.E. หรือ 5,000 I.U. ต่อวัน
  • สำหรับการกินวิตามิน A เป็นอาหารเสริมควรกินวันละ 10,000 I.U.

  วิตามิน C 
ประโยชน์
  • เป็นตัวสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นตัวเส้นใยทำหน้าที่เชื่อมเนื้อเยื่อต่างๆ ไว้ด้วยกัน ทั้งยังเป็นตัวสร้างกระดูก ฟัน เหงือก และเส้นเลือด
  • ช่วยแผลสดและแผลไฟไหม้หายเร็วขึ้น
  • ช่วยให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างเม็ดเลือดทางอ้อม
  •  ช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ (MUTATION)
  •  ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคนอนหลับตาย (SIDS) ในกรณีเด็กอ่อน
  • ช่วยแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน
  • ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด
  •  ช่วยคลายเครียด
ปริมาณที่แนะนำ 
  • ในรายที่ขาดวิตามิน C ควรกิน เสริม วันละ 1,000 mg

  วิตามิน D
พบมาก ในเนย นม เนยแข็ง และในแดด ดังนั้น เราจึงควรตากแดดวันละ 2-3 ชั่วโมง
ประโยชน์
  • ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง ช่วยในการย่อยอาหาร เพิ่มพลังงาน และช่วยรักษาสิว ทั้งนี้หากกินร่วมกับวิตามิน B6 ในขนาดสูงๆ จะช่วยรักษาข้ออักสบ และโรคเรื้อนกวาง (สะเก็ดเงิน) ได้
ปริมาณที่แนะนำ 
  • ควรกินวิตามิน D เสริม วันละ 1,000 I.U

 วิตามิน E
ประโยชน์
  • หน้าที่สำคัญที่สุดของวิตามิน E เป็นตัวแอนติออกซิแดนท์ คือทำให้เกิดการเผาผลาญ (OXIDATION) โดยมีตัวออกซิเจนเป็นตัวการสำคัญ ทำให้ร่างกายเผาผลาญได้ดีขึ้น เป็นตัวช่วยไขกระดูกในการสร้างเลือด ช่วยขยายเส้นเลือด ช่วยต้านการแข็งตัวของเลือด ช่วยลอความสามารถในการจับตัวเป็นลิ่มเลือด และลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดสมองและหัวใจ
  • บำรุงตับซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับเลือดมากมาย
  • ช่วยให้ระบบสืบพันธุ์ เซลล์ประสาท และกล้ามเนื้อทำงานได้ตามปกติ
  •  บำรุงตับซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับเลือดมากมาย
  • ช่วยให้ผิวหนังสดใส และช่วยสมานแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกให้หายเร็วขึ้น
  • ช่วยให้ปอดทำงานดีขึ้น และไม่อ่อนเพลียง่าย
ปริมาณที่แนะนำ
  • ควรกินวิตามิน E เสริม ขนาดเม็ดละ 400 I.U. วันละ 2 เม็ด เช้า-เย็น
  • ไม่ควรกินในปริมาณที่มากเกินไป เพราะอาจเกิดความดันโลหิตสูงได้ในบางราย วิธีแก้อาการดังกล่าวคือ ควรกินในปริมาณ 100 I.U. ก่อน แล้วจึงเพิ่มปริมาณเป็น 200 I.U. และ 400 I.U. ตามลำดับ
  •  หากกินเหล็กและวิตามิน E พร้อมกัน จะเกิดภาวะที่ร่างกายไม่สามารถดูดวึมวิตามิน E ได้ วิธีแก้คือ ควรแยกกินวิตามิน E ก่อนธาตุเหล็ก 8-12 ชั่วโมง

กลูต้าไธโอน ทานถูกวิธีขาวได้วิ๊ง วิ๊ง สาวๆที่อยากจะขาวฟังทางนี้น่ะค่ะ ปัจจุบันอาหารเสริมบำรุงผิวมีมากมายหลายขนานดังนั้น คุณสาวๆ ควรเลือกทานอาหารเสริมให้ถูกวิธีน่ะค่ะ
         





















กลูต้าไธโอน ทานถูกวิธีขาวได้วิ๊ง วิ๊ง สาวๆที่อยากจะขาวฟังทางนี้น่ะค่ะ ปัจจุบันอาหารเสริมบำรุงผิวมีมากมายหลายขนานดังนั้น คุณสาวๆ ควรเลือกทานอาหารเสริมให้ถูกวิธีน่ะค่ะ 
 
 
ก่อนอื่นมารู้จัก ว่า กลูต้าไธโอน คืออะไร กลูต้าไธโอน เป็น tripeptides ของกรดอะมิโน 3 ตัว คือ ซิสทีน (cysteine), กรดกลูตามิค (glutamic acid) และไกลซีน (glycine) ซึ่งร่างกายสามารถผลิตได้เองตามธรรมชาติ
 
และมีในอาหาร เช่น นม ไข่ ผลอะโวคาโด สตรอเบอร์รี มะเขือเทศ ผักบรอคโคลี ส้มเกรปฟรุต และผักโขม หน้าที่หลักของสารตัวนี่ที่เด่นมีอยู่ 3 ประการ คือ
 
Detoxification : กลูต้าไธโอนช่วยสร้างเอ็นไซม์ชนิดต่าง ๆ ในร่างกายโดยเฉพาะ Glutathion-S-transferase ที่ช่วยในการกำจัดพิษออกจากร่างกายโดยไปเปลี่ยนสารพิษชนิดไม่ละลายในน้ำ (ละลายในน้ำมัน) เช่น พวกโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง แม้แต่ยาบางชนิด ให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้ดีขึ้นและง่ายต่อการกำจัดออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันตับ1 จากการถูกทำลายโดย แอลกอฮอล์ (สุรา) สารพิษจากบุหรี่ ยาพาราเซตามอลเกินขนาด (Overdose) ฯลฯ
Antioxidant : กลูต้าไธโอนมีคุณสมบัติเป็นสารต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น (Antioxidant) ที่มีความสำคัญตัวหนึ่งในร่างกาย และหากขาดไป วิตามินซีและอี อาจจะทำงานได้ไม่เต็มที่
Immune Enhancer : ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย2 โดยกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์หลายชนิดเพื่อให้ร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอม รวมถึงเชื้อแบคทีเรียและไวรัส นอกจากนี้กลูตาไธโอน ยังช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA สร้างโปรตีนและ prostaglandin
 
หลายคนที่ซื้อกลูต้าไธโอน มาทานแล้ว ทานทีละหลายๆ เม็ด และมีค่ามิลลิกรัมสูง อาจะเป็นอันตรายส่งผลกับร่างกายของเรา ดังนั้นสาวๆ มาทำความเข้าใจกับการทานกลูต้าฯ ให้มีประสิทธิภาพกันดีกว่า เพื่อผิวขาวสุขภาพดี วิ๊ง วิ๊ง กันดีกว่าคะ
 
ปริมาณการทานกลูต้าฯ ของแต่ละคนไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัว (ถ้าเป็นสาวรูปร่างใหญ่ก็จะมีเม็ดสีผิวเยอะกว่าสาวรูปร่างเล็ก จึงต้องทานมากกว่าคนรูปร่างเล็ก น้ำหนักมากทานมาก น้ำหนักน้อนทานน้อย นั่นเอง)
 
ตัวอย่างเช่น ถ้าคนหนัก 50 กิโลกรัม ถ้าจะทานเพื่อให้ผิวขาวจะต้องทานวันละ 1000-2000 mg. ซึงอาจจะมีค่าใช้จ่ายบานปลาย แต่เราก็มีวิธีที่จะประหยัดลงได้ก็คือ ให้รับประทานเพียงวันละ 10 mg/kg/day แล้วให้ทานสาร antioxidize อื่นๆ คู่กันด้วย เช่น Vitamin C หรือ Vitamin E ซึ่งหากทานวิตามินซีคู่กับกลูต้าไธโอนจะต้องรับประทานเป็น 2 เท่าของกลูต้าไธโอน
 
ลองเทียบน้ำหนักและการทานกลูต้าไธโอน
 
สาวๆ ที่น้ำหนักไม่เกิน 50 กก. ให้ทานกลูต้าไธโอนตอนท้องว่างวันละ 2 เม็ด คู่กับ Vitamin C หรือ Vitamin E  1 เม็ด
สาวๆ ที่น้ำหนักตัว 51-75 กก. ให้ทานกลูต้าไธโอนตอนท้องว่างวันละ 3 เม็ด คู่กับ Vitamin C หรือ Vitamin E  2 เม็ด
สาวๆ ที่น้ำหนักตัว 76-100 กก. ก็ให้ทานกลูต้าไธโอนตอนท้องว่างวันละ 4 เม็ด คู่กับ Vitamin C หรือ Vitamin E  2 เม็ด
 
ส่วนช่วงที่ทากลูต้าไธโอนแล้วถูกดูดซึมดีที่สุด ก็คือ ช่วงท้องว่าง เช่น ตอนตื่นนอนใหม่ๆ อาจจะตอนก่อนนอน หรือก่อน-หลังทานอาหารมากกว่า 30 นาทีขึ้นไปคะ
 
ไม่ว่าจะเลือกทานกลูต้าไธโอนแบบไหนสิ่งแรกที่สาวๆ ควรคำนึงคือ สลาก อย. ว่าได้รับการรับรองมาแล้วหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง ถ้าจะสวยก็ต้องเลือกสวยแบบมีคุณภาพและสุขภาพดีด้วยนะคะ
 http://www.108health.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น