วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2556



ธุรกิจเบื้องต้น

  ธุรกิจ(Business) หมายถึง  การกระทำหรือกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์
ที่ดำเนินงานเกี่ยวกับสถาบันการผลิต  การจำหน่าย  และการให้บริการ 
โดยกลุ่มบุคคลมีการกระทำร่วมกันเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายเดียวกัน  คือ 
กำไร  หรือรายได้  เป็นการตอบแทนการลงทุนด้วยทรัพย์สินและแรงงาน
ในกิจกรรมนั้น  การกระทำดังกล่าวอาจจะเสี่ยงต่อการขาดทุนด้วย
 ความหมายของธุรกิจอาจกล่าวได้กว้าง ๆ  ว่า  ธุรกิจเป็นกิจกรรมทาง
ด้านเศรษฐกิจและการพาณิชย์ที่มีเป้าหมายทางด้านกำไรในการจัดหาสินค้าและบริการ  เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค  หรือ

      ธุรกิจ หมายถึง  กิจกรรมที่เกี่ยวกับธนาคาร  กาขนส่ง  การก่อสร้าง  การทำเหมืองแร่  และการให้บริการ หรือ

      ธุรกิจ หมายถึง  ขบวนการทั้งปวงของการนำทรัพยากรธรรมชาติมาเปลี่ยนสภาพด้วยขบวนการต่าง  ๆ จนเป็นสินค้าและนำไปจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภค


      ในสังคมล้อมรอบตัวเราสามารถมองเห็นการประกอบธุรกิจและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องตลาดเวลาในฐานะผู้ผลิต  และผู้บริโภค  ธุรกิจการผลิต  ได้แก่  โรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ผลิตสินค้า  ผู้ผลิตสินค้าขนาดย่อม  ธุรกิจซื้อขายสินค้า  ได้แก่  ร้านค้าประเภทต่าง ๆ คนกลางที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขาย กิจการธนาคาร  การประกันภัย  การขนส่ง  การเก็บรักษาสินค้า  การให้บริการของภาครัฐและเอกชน  เป็นต้น



ประเภทและองค์ประกอบของการประกอบธุรกิจ

สามารถแบ่งตามลักษณะของกิจกรรมที่กระทำได้ดังนี้

1. ธุรกิจการเกษตร (Agriculture) คือธุรกิจที่ทำการผลิตทางด้านเกษตรกรรม
2. ธุรกิจเหมืองแร่ (Mineral) คือธุรกิจการทำเหมืองแร่ การขุดเจาะ รวมทั้งการนำเอาทรัพยากรธรรมชาติต่างๆมาใช้
3. ธุรกิจอุตสาหกรรม (Manufacturing) คือธุรกิจการผลิตสินค้าและเครื่องอุปโภคทั่วไป
- อุตสาหกรรมในครัวเรือน คืออุตสาหกรรมขนาดเล็ก ใช้แรงงานจากสมาชิกในครอบครัวในช่วงเวลาว่างจากการประกอบอาชีพหลัก โดยใช้วัตถุดิบในครัวเรือน
- อุตสาหกรรมโรงงาน คือ ธุรกิจซึ่งผู้ผลิตทำการผลิตจากโรงงาน มีการจ้างแรงงานจากแหล่งบุคคลภายนอก มีกระบวนการผลิต เครื่องมือ เครื่องจักรซึ่งสามารถผลิตสินค้าได้ครั้งละมากๆ
4. ธุรกิจการก่อสร้าง (Construction) คือธุรกิจที่นำเอาสินค้าสำเร็จรูปจากธุรกิจอื่นๆมาใช้ในการก่อสร้าง
5. ธุรกิจเกี่ยวกับพาณิชย์ (Commercial) คือธุรกิจที่เป็นช่องทางในการกระจายสินค้าจากผู้ผลิตอุตสาหกรรมต่างๆไปสู่ผู้บริโภค
6. ธุรกิจการเงิน (Finance) คือธุรกิจที่ให้ความช่วยเหลือด้านการเงิน เช่นการให้กู้ยืม
7. ธุรกิจบริการ (Service) คือธุรกิจที่ให้บริการเพื่ออำนวยความสะดวกและสนองความต้องการของธุรกิจและบุคคล
8. ธุรกิจอื่น ๆ ได้แก่ธุรกิจที่นอกเหนือไปจากที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น เช่น ผู้ประกอบอาชีพอิสระต่าง ๆ เช่น ครู แพทย์  ฯลฯ


องค์ประกอบของการประกอบธุรกิจ

1. การจัดองค์กร คือกิจกรรมที่ทำให้องค์การสามารถจัดรูปแบบการทำงานของบุคลากรภายในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. การผลิตและปฏิบัติการ คือกิจกรรมของการนำเอาวัตถุดิบมาผ่านกระบวนการในการผลิตเพื่อทำให้เกิดมีสินค้าหรือบริการ
3. การตลาด คือการดำเนินการเพื่อจะทำให้สินค้าหรือบริการที่ผลิตแล้วได้รับการเปลี่ยนมือไปถึงมือผู้บริโภค
4. การบัญชีและการเงิน คือการเก็บบันทึกข้อมูลการดำเนินงานการจัดทำงบการเงิน งบประมาณ การจัดหาเงินทุน การใช้เงินทุนและลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยบริหารให้เงินทุนหมุนเวียนอย่างพอเหมาะ
5. การจัดหาวัตถุดิบมาป้อนโรงงาน คือกิจกรรมในการจัดซื้อและควบคุมการจัดซื้อวัตถุดิบ รวมทั้งการตรวจนับสินค้าคงคลัง
6. การบริหารงานบุคคล คือการดำเนินการจัดสรรพนักงาน การฝึกอบรม การจัดหารูปแบบของการจูงใจและสวัสดิการต่างๆ เพื่อประสิทธิภาพในการบริหารบุคคลซึ่งส่งผลต่อความสำเร็จขององค์กร


ทรัพยากรและปัจจัยพื้นฐานของการทำธุรกิจ

1. MAN หมายถึง ปัจจัยที่เป็นทรัพยากรบุคคลที่มีประสิทธิภาพทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพของงานอย่างเพียงพอในการประกอบธุรกิจ
2. MONEY หมายถึง แหล่งเงินทุนซึ่งธุรกิจสามารถนำมาใช้ในการสนับสนุนและเอื้ออำนวยความสะดวกต่อการทำธุรกิจ
3. MATERIALS หมายถึง วัตถุดิบและวัตถุที่ต้องจัดหามาเพื่อใช้ในการผลิตหรือสร้างบริการ ซึ่งต้องพิจารณาทั้งด้านคุณภาพและราคาเพื่อทำให้ต้นทุนของสินค้าหรือบริการที่ผลิตต่ำแต่ได้คุณภาพที่ดี
4. MANAGEMENT หมายถึง ปัจจัยในการจัดการซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้บริหาร โดยรวบรวม ผลักดันและควบคุมปัจจัยที่เป็นทรัพยากร เพื่อดำเนินธุรกิจได้ตรงกับเป้าหมาย


หลักเกณฑ์การจัดแผนกงาน

การจัดแผนกงานขององค์กร อาจใช้ข้อพิจารณาจากหลักเกณฑ์ต่อไปนี้
1. จำนวนคน (By number)
คือจัดรวมคนเป็นจำนวนเท่าๆกันแล้วแบ่งงานให้แก่บุคคลเหล่านี้ มักใช้ในระดับต่ำสุดขององค์กร
2. หน้าที่ (Function)
คือการรวมกลุ่มหน้าที่ต่างๆที่คล้ายคลึงกันเข้าด้วยกันแล้วจัดเป็นแผนก เช่นหน้าที่การผลิต การเงิน แต่ละแผนกจะรายงานผลการปฏิบัติงานโดยตรงไปยังผู้จัดการใหญ่ ซึ่งผู้บริหารระดับสูงสุดจะเป็นผู้ประสานงานให้ทุกอย่างสอดคล้องประสานกัน มีข้อดีคือทำให้บุคคลทำงานตามความถนัดและสามารถของตนเอง การควบคุมไม่ยุ่งยาก เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กในระยะแรก แต่ไม่เหมาะกับธุรกิจที่มีการขยายตัว
3. ผลิตภัณฑ์ (Product)
คือการจัดแผนกโดยผู้บริหารสูงสุดมอบหมายอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบต่างๆที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์แต่ละประเภทไปให้กับผู้บริหารของแต่ละผลิตภัณฑ์ เนื่องจากผลิตภัณฑ์แต่ละอย่างมีกลยุทธ์และเทคนิคเฉพาะตัวแตกต่างกันข้อดีคือทำให้หน่วยงานต่างๆ มีอิสระและสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์แต่ละประเภทได้อย่างเต็มที่ แต่ข้อเสียคืออาจเกิดปัญหาของงานในหน้าที่เดียวกัน เช่นการเงิน การตลาด ซึ่งอาจทำให้การทำงานซับซ้อน
4. พื้นที่ทำงาน (Territory)
คือการจัดแบ่งกลุ่มโดยคำนึงถึงการใช้พื้นที่และสภาพทางภูมิศาสตร์หรือทำเลที่ตั้งของกิจการที่ต้องเข้าไปดำเนินการในพื้นที่นั้นๆ ทำให้ผู้บริหารของแต่ละท้องที่สามารถใช้แนวทางการจำหน่ายหรือการบริหารได้เหมาะสม โดยปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของแต่ละแห่ง เช่นการจำหน่ายน้ำมัน ประกันชีวิต แต่ทำให้ต้องมีการเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในด้านการประสานงานและการคมนาคม
5. ลูกค้า (Customer)
คือการจัดโดยคำนึงถึงลูกค้าเป็นสำคัญ เพื่อให้กิจการสามารถตอบสนองความต้องการและความพอใจของลูกค้ากลุ่มต่างๆได้ดี มักเป็นธุรกิจที่มีผลิตภัณฑ์ที่มีผลิตภัณฑ์หลายรูปแบบชนิด เช่นร้านขายเสื้อผ้าซึ่งมีแผนกเด็ก สุภาพสตรี สุภาพบุรุษ แต่ข้อเสียคือหากเกิดความผันผวนของลูกค้าในบางกลุ่ม ก็อาจทำให้บางแผนกมีกิจกรรมการทำงานลดลงจนถึงขั้นยุบแผนก

6. โครงการหรือเมตริกซ์ (Project or Matrix organization)
คือการจัดตามหน้าที่โครงสร้างหลัก แล้วสร้างทีมโครงการขึ้นช่วยเสริมเมื่อมีความต้องการใช้ โดยที่โครงการนั้นต้องการความชำนาญเฉพาะด้าน สมาชิกของทีมโครงการมาจากแผนกงานตามหน้าที่จะเข้าอยู่ภายใต้การอำนวยการของผู้บริหารโครงการเป็นการชั่วคราว ซึ่งต้องรับความผิดชอบต่อความสำเร็จของโครงการ เมื่อโครงการนั้นสำเร็จ ทีมโครงการจะกลับไปยังแผนกงานเดิม จนกว่าจะมีโครงการใหม่ วิธีการจัดแผนกแบบนี้เหมาะกับองค์กรที่มีกิจการซับซ้อน แต่ทำให้การบังคับบัญชาซับซ้อน สับสนเพราะจะไม่ขึ้นกับผู้บังคับบัญชาเพียงผู้เดียว


ระบบธุรกิจ (Business System)

ระบบที่ทำงานเพื่อจุดประสงค์ด้านธุรกิจ เช่นโรงงานอุตสาหกรรมเป็นระบบธุรกิจเพื่อจุดประสงค์ด้านการผลิต ระบบธุรกิจอื่นๆ เช่น ระบบโรงแรม ระบบธนาคาร เป็นต้นต่างก็มีจุดประสงค์แตกต่างกันไป ระบบธุรกิจอาจมีการแบ่งย่อยๆลงไปได้อีก เช่น ในโรงงานมีการจัดแบ่งออกเป็นฝ่ายต่างๆ เช่น ฝ่ายขาย ซึ่งในฝ่ายขายก็มีระบบงานย่อยหลายอย่างที่ต้องทำ เช่น ระบบเก็บเงินลูกค้า ระบบรับใบสั่งสินค้า เป็นต้น

ธุรกิจการผลิตสินค้าและบริการ 

           มนุษย์มีความต้องการสินค้าและบริการแตกต่างกัน  เช่น  มีความต้องการสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ  คือ  อาหาร  เครื่องนุ่งห่ม  ยารักษาโรค  และที่อยู่อาศัย  ส่วนบางคนอาจจะมีความต้องการสินค้าฟุ่มเฟือย  เช่น  เครื่องสำอาง  เสื้อผ้าราคาแพง  เครื่องประดับ  ฯลฯ  เพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าว  องค์กรธุรกิจและบุคคลที่เกี่ยวข้องจึงเป็นผู้ผลิตสินค้าและบริการ


ธุรกิจมีการซื้อขาย 

            ในสังคมที่มีระบบเศรษฐกิจแบบง่าย  ๆ ซึ่งแต่ละคนสามารถจัดหาสิ่งของต่างๆ ตอบสนองความต้องการของตนเองและครอบครัวได้  ด้วยการผลิตเครื่องนุ่งห่ม  จัดหาอาหารและสร้างบ้านอยู่อาศัยด้วยตนเอง  หากบุคคลใดบุคคลหนึ่งมีสิ่งของเหล่านั้นเหลือใช้  จะนำไปแลกเปลี่ยนกับบุคคลอื่น  ก่อให้เกิดระบบแลกเปลี่ยน  (Barter System)  
           ระบบการแลกเปลี่ยนได้เปลี่ยนแปลงไป  เนื่องจากมีความซับซ้อนและยุ่งยาก  แต่ละคนมีความต้องการไม่ตรงกัน   ขาดความยุติธรรมในการแลกเปลี่ยน  จึงเกิดระบบตลาด  จะเห็นได้จากมีผู้ผลิตสินค้าและบริการนำสินค้ามาขายเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค  โดยใช้เงินเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน  ดังนั้น  ผู้ผลิตจึงเป็นทั้งผู้ผลิต  ผู้เก็บรักษา และเป็นผู้จำหน่ายต่อให้กับพ่อค้าคนกลางหรือเป็นคนกลางที่ซื้อสินค้ามาแล้วจำหน่ายให้กับผู้บริโภคคนสุดท้าย 
           ส่วนธุรกิจบริการผู้ขายหรือผู้ให้บริการ  ได้แก่  องค์กรภาครัฐในรูปของรัฐวิสาหกิจ  เช่น  องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ  การท่าเรือแห่งประเทศไทย  และองค์กรภายนอกเอกชน  คือ  บริษัทขนส่งของผู้ประกอบการต่าง กๆ นอกจากนี้มีธนาคารพาณิชย์  ผู้ประกอบการคลังสินค้า ฯลฯ  ทำหน้าที่ให้บริการแก่ผู้ผลิตและผู้บริโภคได้รับความสะดวกสบายและตอบสนองความต้องการได้อย่างครบครัน  ธุรกิจจึงเป็นผู้ผลิต  ผู้ขายหรือจำหน่ายและผู้ให้บริการ


ธุรกิจมีผลกำไร 

           เป้าหมายของผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจ  คือ  ผลกำไร  มีความรู้ความสามารถในการผลิต  ความสามารถหาแหล่งสินค้า  รู้จักวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า  ต้นทุนสินค้า  และค่าใช้จ่าย  ขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงต่อการขาดทุน  จึงจำเป็นต้องดำเนินกิจกรรมด้วยความละเอียดรอบคอบ


วัตถุประสงค์ของธุรกิจ

      ผู้ประกอบการมีวัตถุประสงค์ในการดำเนินธุรกิจ  ดังนี้

1  ผลกำไร(Profit) 

            วัตถุประสงค์สำคัญของการดำเนินธุรกิจ  คือ  ผลกำไร ซึ่งเป็นผลตอบแทนของการลงทุนจากทรัพย์สิน  จากแรงกายและความรู้ความสามารถ  ผลกำไรจึงเป็นสิ่งจูงใจให้ดำเนินกิจกรรมต่อไป  หากธุรกิจไม่มีผลกำไร ก็จะไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้  ดังนั้นผู้ผลิตเมื่อผลิตสินค้าและบริการแล้วจะต้องขายได้สูงกว่าต้นทุนและค่าใช้จ่าย  ผลต่างคือกำไรจากการประกอบการ  ซึ่งจะทำให้กิจการมีความเจริญเติบโต


2  ความอยู่รอด (Survival) 

            เมื่อผู้ประกอบการตัดสินใจดำเนินธุรกิจแล้วย่อมต้องการให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ  และมีอายุของกิจการยาวนาน  เพื่อทำหน้าที่ผลิตสินค้าและบริการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค  และเป็นความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุด  แต่จะทวีความต้องการมากขึ้น  ทำให้ธุรกิจดำเนินการไปได้


3  ความรับผิดชอบต่อสังคม(Social Responsibilities) 

           ผู้ประกอบการที่ดีจะต้องกำหนดวัตถุประสงค์ให้สอดคล้องกับความรับผิดชอบของธุรกิจ  คือ  มีความซื่อสัตย์กับลูกค้า  สังคมและสิ่งแวดล้อม  ด้วยการพัฒนาสังคม  ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้บริโภคให้ดีขึ้น  มีความยุติธรรมกับทุกคนในสังคม  ประพฤติปฏิบัติตนถูกต้องตามกฎหมาย  ไม่ขัดต่อศีลธรรม  ขนบธรรมเนียมประเพณีของสังคม  เช่น  ไม่ผลิตหรือค้าขายสิ่งเสพติดผิดกฎหมาย  ไม่ปลอมปนสินค้า  ไม่ใช้แรงงานเด็ก  ฯลฯ  


ประโยชน์ของธุรกิจ

ธุรกิจมีประโยชน์ต่อประชาชน สังคม  และประเทศชาติ  ดังนี้

      1.   ทำให้เกิดกระบวนการผลิตสินค้าและบริการ เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์  ซึ่งมีความต้องการไม่มีที่สิ้นสุด  เช่น  เมื่อเรามีบ้านแล้วย่อมต้องการเฟอร์นิเจอร์  เครื่องปรับอากาศ  เครื่องอำนวยความสะดวกสบายต่าง ๆ ภายในบ้าน  เป็นต้น

      2.  ช่วยกระจายสินค้าจากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภค องค์กรธุรกิจเมื่อผลิตสินค้าแล้วย่อมต้องการขายหรือจำหน่ายสินค้าออกสู่ผู้บริโภคซึ่งอยู่กระจายตามส่วนต่าง ๆ ของประเทศหรือกระจายอยู่ทั่วโลก  จึงจำเป็นต้องมีธุรกิจอื่นมาทำหน้าที่กระจายสินค้าไปสู่ผู้บริโภคเหล่านั้นได้  เช่น  มีระบบคนกลาง ได้แก่  พ่อค้าส่ง  พ่อค้าปลีก  ตัวแทนจำหน่ายและนายหน้า  มีระบบการขนส่ง  การคลังสินค้าเข้ามาเกี่ยวข้อง ฯลฯ
     3.   เกิดการจ้างงาน ธุรกิจจำเป็นต้องจ้างบุคคลอื่นเข้ามาทำงานในกิจการ  ทำให้ประชาชนมีรายได้จากการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมของผู้ผลิต  หรือการเป็นพนักงานขายในร้านค้าปลีกต่าง ๆ ทำให้มีรายได้  เมื่อคนมีรายได้จะนำไปซื้อหาสินค้าและบริการต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการครองชีพได้  ดังนั้นการจ้างงานจึงเป็นการช่วยลดปัญหาการว่างงานและปัญหาทางสังคมด้วย
      4. ช่วยให้ประชาชนมีมาตรฐานการครองชีพดีขึ้น การที่ประชาชนซึ่งอยู่ห่างไกลความเจริญมีงานทำและมีรายได้จากองค์กรธุรกิจ  ทำให้มีโอกาสได้เลือกซื้อสินค้าและบริการที่มีคุณภาพดีขึ้น  เกิดมาตรฐานการครองชีพสูงขึ้นด้วย

5.  สร้างรายได้ให้กับรัฐ จากการประกอบการของธุรกิจทำให้มีรายได้  แล้วนำไปเสียภาษีและค่าธรรมเนียมต่าง  ๆ  ให้กับรัฐบาล  เงินภาษีที่รัฐได้รับจะนำไปพัฒนาประเทศ  เช่น  การสร้างถนน  การให้บริการสาธารณูปโภคต่าง ๆ เป็นต้น
      6.  เกิดความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี  กิจกรรมทางธุรกิจก่อให้เกิดความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี  เช่น  มีเครื่องจักรที่ทันสมัยในการผลิตสินค้า  มีเครื่องมือสื่อสารที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยี  เช่น  จานดาวเทียม  โทรศัพท์มือถือ  ตลอดจนมีเครื่องมือต่าง ๆ ที่อำนวยความสะดวกในการซื้อขาย  เช่น  อินเตอร์เน็ต  เป็นต้น
      7.  ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เกิดจากการผลิตสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ  และมาตรฐานที่ดี  เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค  สามารถนำออกไปจำหน่ายต่างประเทศ  ทำให้มีรายได้เข้าประเทศมากขึ้น  เศรษฐกิจของประเทศก็ดีขึ้น  ดังนั้นธุรกิจจึงมีส่วนช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศด้วย


ลักษณะของการประกอบธุรกิจ

ธุรกิจแบ่งตามลักษณะของกิจกรรมที่กระทำได้  8  ประเภทคือ 

2.1  ธุรกิจเกษตร(Agriculture) 
      ธุรกิจการเกษตรเป็นธุรกิจพื้นฐานของคนไทยที่ยึดถือเป็นอาชีพมาช้านาน  ได้แก่  การทำนา  ทำสวน  ทำไร่  การประมง  การเลี้ยงสัตว์  และการทำป่าไม้


2.2. ธุรกิจเหมืองแร่(Mineral)  
      ธุรกิจเหมืองแร่เป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับการขุดเจาะนำเอาทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ มาใช้  เช่น  ถ่านหิน  ดีบุก  น้ำมัน  ปูนซีเมนต์ ฯลฯ



2.3  ธุรกิจอุตสาหกรรม(Manufacturing) 
      ธุรกิจอุตสาหกรรมเป็นธุรกิจการผลิตและบริการทั่วไปทั้งอุตสาหกรรม  ขนาดย่อมและขนาดใหญ่  ซึ่งแบ่งได้ดังนี้
      2.3.1  อุตสาหกรรมในครัวเรือน หรือุตสาหกรรมขนาดย่อม
            ธุรกิจประเภทนี้เป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็กใช้แรงงานจากสมาชิกในครอบครัว โดยใช้เวลาว่างจากการประกอบอาชีพหลักให้เกิดประโยชน์ วัสดุต่างๆ หาได้ในท้องถิ่น ผลิตภัณฑ์เป็นภูมิปัญญาในท้องถิ่น สืบทอดจากบรรพบุรุษ เช่น อุตสาหกรรมจักสานอุตสาหกรรมทอผ้า อุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผา อุตสาหกรรมอาหารสำเร็จรูป ฯลฯ

      2.3.2  อุตสาหกรรมโรงงาน
            อุตสาหกรรมโรงงานเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มี่มีการผลิตสินค้าจากโรงงานถาวร มีเครื่องจักรที่ทันสมัย และเกิดการจ้างแรงงานจากบุคคลภายนอก และใช้เงินลงทุนจำนวนมาก มีกระบวนการผลิตที่ดี ผลผลิตที่ได้จึงมีคุณภาพดีและปริมาณจำนวนมาก เช่น สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก  เสื้อผ้าสำเร็จรูป อาหาร รถยนต์ ฯลฯ

2.4  ธุรกิจก่อสร้าง(Cnostruction)
      ธุรกิจก่อสร้างเป็นอุตสาหกรรมที่ทำต่อเนื่องจากอุตสาหกรรมต่างๆ ที่กล่าวข้างต้น โดยนำเอาผลผลิตของอุตสาหกรรมมาใช้ เช่น การสร้างอาคารที่อยู่อาศัย ถนน สะพาน เขื่อน ทางระบายน้ำ เป็นต้น

2.5  ธุรกิจการพาณิชย์(Commercial) 
      ธุรกิจการพาณิชย์เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการตลาด มีการกระจายสินค้าไปสู่ผู้บริโภค ทำให้ซื้อหาสินค้าต่างๆ ได้สะดวกสบายตามความต้องการ ซึ่งต้องอาศัยคนกลางดำเนินธุรกิจ ได้แก่ พ่อค้าส่ง พ่อค้าปลีก นายหน้าและตัวแทนจำหน่าย

2.6  ธุรกิจการเงิน(Financial) 
      ธุรกิจการเงินเป็นธุรกิจที่ส่งเสริมให้ธุรกิจต่างๆ มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้นเพราะเป็นองค์กรทีให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านการเงิน และการลงทุน เช่น การซื้อที่ดิน การสร้างโรงงาน การซื้อเครื่องจักร วัตถุดิบ ค่าจ้างแรงงาน นอกจากนี้การจัดจำหน่ายก็ต้องใช้เงินลงทุนซื้อสินค้าเพื่อขายต่อ การเก็บรักษาสินค้า ค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ค่าโฆษณา ผู้ประกอบการสามารถพึ่งพาธุรกิจการเงินได้ด้วยการกู้ยืมเพื่อนำไปลงทุนดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ธุรกิจการเงิน ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพ่อการส่งออกและนำเข้า บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กองทุนหมู่บ้าน และบริษัทประกันภัย เป็นต้น

2.7  ธุรกิจบริการ(Services)
      ธุรกิจบริการเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ผลิตการบริการ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในการอำนวยความสะดวกสบายให้แก่ผู้บริโภค เช่น บริการขนส่ง การสื่อสาร ธุรกิจโรงแรม การท่องเที่ยว โรงพยาบาล โรงภาพยนตร์ ภัตตาคาร สถานบันเทิงต่างๆ ร้านซักรีด ร้านถ่ายรูป สถานเสริมความงาม ฯลฯ

2.8  ธุรกิจอื่น  ๆ
      ธุรกิจลักษณะอื่นๆ เป็นธุรกิจที่นอกเหนือไปจากธุรกิจดังกล่าวข้างต้น ได้แก่ ผู้ประกอบการอาชีพอิสระต่างๆ เช่น แพทย์ ครู เภสัชกร วิศวกร สถาปนิก จิตรกร ประติมากร เป็นต้น






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น