การจัดการทรัพยากรสารสนเทศ
การจัดหาทรัพยากรสารสนเทศ(Acquisition) หมายถึง กระบวนการดำเนินงานทางเทคนิค
วิชาชีพสารสนเทศศาสตร์ในหลาย ๆ รูปแบบ หลายขั้นตอนต่อเนื่องกัน เพื่อให้ศูนย์
สารสนเทศได้มาซึ่งทรัพยากรสารสนเทศที่เหมาะสมตามหลักวิชา ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ และ ได้มาอย่างรวดเร็วที่สุดตามระบบงาน วิธีการต่างๆ เพื่อให้ได้มาและเพิ่มเติม
ทรัพยากรสารสนเทศในห้องสมุด ซึ่งการจัดหาทรัพยากรสารสนเทศของห้องสมุดโดยทั่วไป จะกระทำ
ใน ๒ ลักษณะ คือ
๑. 1.การจัดหาทรัพยากรสารสนเทศที่เป็นมาตรฐาน ได้แก่ ทรัพยากรที่ให้ความรู้พื้นฐานเบื้องต้นที่สำคัญของสาขาวิชาต่างๆ ซึ่งเป็นที่ต้องการของผู้ใช้ห้องสมุด ตามนโยบายหรือวัตถุประสงค์ของห้องสมุดนั้นๆ บรรณารักษ์จึงจำเป็นต้องศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับทรัพยากรที่มีจำหน่ายจากเครื่องมือช่วยเลือกทรัพยากรสารสนเทศ (Selection tools) ต่างๆ
๒. 2.การจัดหาทรัพยาการสารสนเทศในสาขาวิชาต่างๆ ให้ทันสมัยอยู่เสมอ บรรณารักษ์ควรติดตามความเคลื่อนไหวของทรัพยากรสารสนเทศที่ออกมาใหม่ๆ จากเครื่องมือช่วยเลือกทรัพยากรสารสนเทศเพื่อใช้ในการพิจารณาจัดหาเข้าห้องสมุด
ทรัพยากรสารสนเทศที่มีความเหมาะสมตามหลักวิชา ได้มาโดยผ่านการประเมิน
คุณค่าอย่างเข้มข้นของนักพัฒนาทรัพยากรสารสนเทศ ไม่ว่าจะเป็นการแนะนำ การชี้นำ หรือการวิจารณ์ทรัพยากรสารสนเทศทั้งการสัมผัสจับต้องโดยตรง หรือผ่านเครื่องมือช่วย
ในการเลือกทั้งเครื่องมือหลักและเครื่องมือเสริม
ขั้นตอนเชื่อมต่อระหว่างการประเมินคุณค่ากับการจัดหา ก็คือการตัดสินใจเลือก
ทรัพยากรสารสนเทศแต่ละชิ้นนั้นให้ได้
4. การจัดหาหรือการดำเนินงานเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพยากรสารสนเทศ แบ่งได้เป็น 4 วิธี คือการซื้อ การได้เปล่า การแลกเปลี่ยน และการผลิตขึ้นเอง
การจัดหาทรัพยากรสารสนเทศก่อนนำออกบริการ
ทรัพยากรสารสนเทศที่ประเมินคุณค่า เลือก และจัดหามาได้แล้วนั้นศูนย์สารสนเทศยังไม่สามารถนำออกบริการได้โดยทันที จำเป็นต้องจัดการต่อเนื่องเพื่อให้ทรัพยากรสารสนเทศทุกชิ้นมีสภาพพร้อมในระบบงานต่าง ๆ ของศูนย์สารสนเทศ ดังต่อไปนี้
1. การลงทะเบียน
2. การจัดหมวดหมู่และทำรายการค้น
3. การปรับปรุงสภาพ
การประเมินผลการใช้ประโยชน์ทรัพยากรสารสนเทศ การคัดออก และการทดแทน
การประเมินผลการใช้ประโยชน์ทรัพยากรสารสนเทศ
1. ทรัพยากรสารสนเทศที่ประเมินคุณค่า เลือก และจัดหามาบริการผู้ใช้นั้น จะต้องมีการ
ติดตามผลการใช้ เพื่อประเมินผลเป็นรายชิ้นตามประเด็นต่อไปนี้
1.1 ใช้ประโยชน์ได้คุ้มค่าเพียงใด ทรัพยากรสารสนเทศแต่ละชิ้นมีราคาตามที่
ได้จัดหามาโดยกรอกไว้ในการลงทะเบียน หากจัดหาโดยการซื้อจะมีราคาเต็มตามความเป็นจริง
ส่วนการจัดหาโดยวิธีอื่นราคาก็จะขึ้นอยู่กับตัวทรัพยากรสารสนเทศชิ้นนั้น เช่นจากการรับบริจาคหรือการแลกเปลี่ยนหากเป็นทรัพยากรสารสนเทศที่มีราคาระบุกำกับไว้ก็จะลงทะเบียนราคาไว้ตามที่ระบุ แต่หากเป็นทรัพยากรสารสนเทศที่ไม่ระบุราคาเช่นจากการรับแจกหรือแลกเปลี่ยน
หรือจากการผลิตขึ้นเอง ก็จะลงทะเบียนราคาไว้ตามหลักการตีราคาทรัพยากรสารสนเทศ
ที่ศูนย์สารสนเทศกำหนดเป็นมาตรฐานไว้
การประเมินความคุ้มค่าคิดราคาเทียบกับปริมาณการใช้ประโยชน์ ค่าความคุ้มค่า
ยิ่งน้อย ยิ่งมีความคุ้มค่าสูง ตัวอย่างเช่น หนังสือเล่มหนึ่งมีราคา 300 บาท
หากมีการใช้ 1 ครั้ง หนังสือเล่มนี้ก็มีความคุ้มค่า 300 บาท
หากมีการใช้ 2 ครั้ง หนังสือเล่มนี้ก็มีความคุ้มค่า 150 บาท
หากมีการใช้ 5 ครั้ง หนังสือเล่มนี้ก็มีความคุ้มค่า 60 บาท
หากมีการใช้ 300 ครั้ง หนังสือเล่มนี้ก็มีความคุ้มค่า 1 บาท...
และหากไม่มีการใช้ประโยชน์จากหนังสือเล่มนั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว
หนังสือเล่มนั้นก็ไม่มีความคุ้มค่าเลย กลับจะต้องประเมินความสูญเปล่าจากการจัดหา และการดำเนินงานทางเทคนิคต่าง ๆ ที่ต้องทำก่อนนำหนังสือเล่มนั้นออกบริการ ซึ่งเป็นความสูญเปล่า
เชิงวิชาชีพที่เสียหายอย่างร้ายแรง
1.2 ทรัพยากรสารสนเทศมีสภาพทนทานพอที่จะใช้ประโยชน์ต่อไปหรือไม่
ทรัพยากรสารสนเทศจะค่อย ๆ เปลี่ยนสภาพจากใหม่ สะอาด น่าหยิบถือใช้ประโยชน์ ไปเป็น
ค่อย ๆ เก่า สกปรกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มีสภาพชำรุด ยับฝ่อ ฉีกขาด แตกหัก ตามปริมาณการใช้
และการระมัดระวังช่วยกันทะนุถนอมของผู้ใช้ทุกคน เมื่อทรัพยากรสารสนเทศชิ้นใดมีสภาพ
เลวร้ายจนไม่น่าใช้ หรือใช้ไม่ได้ ก็ต้องคัดออก แล้วจัดหาชิ้นที่ใหม่ น่าใช้ เข้ามาทดแทน
1.3 เนื้อวัตถุของทรัพยากรสารสนเทศหมดอายุการใช้งาน เช่น กระดาษปรู๊ฟ มีอายุการใช้งานประมาณ 3-5 ปีก็จะเปลี่ยนสีจากขาวนวลเป็นสีเหลืองเข้มขึ้น ๆ จนกลายเป็น สีน้ำ-ตาล และฝ่อ กรอบ ฉีกขาดเพราะหมดอายุ ส่วนกระดาษปอนด์ขาวจะมีความทนทาน นานกว่าสิบปี หรือเนื้อวัตถุสังเคราะห์ประเภทพลาสติกที่ใช้ทำทรัพยากรสารสนเทศไม่ตีพิมพ์แทบทุกชนิด ก็จะมีอายุการใช้งานมากน้อยแตกต่างกันไปตามแต่เทคนิคการผลิต เช่น เนื้อพลาสติกกรอบ แข็ง แตกหักขาด
น้ำยาเคมีเคลือบผิววัสดุอาจจะเสื่อมสภาพ แห้งหรือเหนียวเยิ้ม หรือสีซีดจาง หรือมีรอยขูดขีดเป็นรอย ทำให้ทรัพยากรสารสนเทศใช้การไม่ได้ตามปกติ ก็ต้องคัดทิ้งไป
1.4 ทรัพยากรสารสนเทศบางชิ้นอาจจำเป็นต้องคัดออกเนื่องจากหมดความจำเป็นในการใช้งาน เช่นหลักสูตรรายวิชาเปลี่ยนไป จำนวนหรือความต้องการของผู้ใช้ลดลง ตลอดจนทรัพยากรสารสนเทศของศูนย์สารสนเทศมีจำนวนมากขึ้น จนเกิดปัญหาสถานที่เก็บหรือชั้นวาง
อัดแน่น จึงต้องคัดทรัพยากรสารสนเทศบางชิ้นออกตามความจำเป็นดังกล่าว
การประเมินเพื่อคัดออกตามข้อนี้จะต้องใช้ความรอบคอบระมัดระวังเป็นพิเศษ
เพราะหมายถึงการตัดเงินหรือมูลค่าตามราคาของทรัพยากรสารสนเทศชิ้นนั้นทิ้งไปโดยตรง ซึ่งหากประเมินผิดพลาดก็จะกลายเป็นความเสียหายเชิงวิชาชีพอย่างร้ายแรง
2. การติดตามประเมินผลสามารถดำเนินการได้หลายวิธี คือ
2.1 สังเกตและตรวจสอบทรัพยากรสารสนเทศบนชั้นวาง เป็นข้อมูลที่ชัดเจน
ซึ่งนักพัฒนาทรัพยากรสารสนเทศสามารถกระทำได้ตลอดเวลา เพียงแต่ต้องตระหนักไว้เสมอว่า
เป็นภารกิจที่ต้องทำอยู่เป็นประจำ จะละเลยไม่ได้เป็นอันขาด เป็นการปฏิบัติงานในชีวิตประจำวัน
ตามหน้าที่ความรับผิดชอบของนักพัฒนาทรัพยากรสารสนเทศโดยตรง อาจต้องกำหนดเป็นตารางทำงานประจำวัน (Office Hour : OH) ไว้เพื่อไม่ให้หลงลืม
2.2 สังเกตและตรวจสอบทรัพยากรสารสนเทศที่ผ่านจุดปฏิบัติงาน ทรัพยากรสารสนเทศที่อยู่ในระบบบริการหมุนเวียน (Circulation) จะเคลื่อนที่ผ่านจุดปฏิบัติงานเป็นลำดับตลอดเวลา ได้แก่จุดให้ยืม จุดรับคืน จุดจัดชั้นวาง จุดตู้เก็บ เป็นต้น นักพัฒนาทรัพยากรสารสนเทศจะเห็นสภาพที่เป็นจริงของทรัพยากรสารสนเทศแต่ละชิ้นตลอดเวลาเช่นกัน
2.3 ศึกษาสถิติการให้บริการ เป็นการศึกษาและเก็บข้อมูลอย่างเป็นทางการขึ้น
กล่าวคือจะต้องมีระบบและเครื่องมือในการบันทึกและรายงานสถิติการใช้ทรัพยากรสารสนเทศ
เป็นรายชิ้นว่ามากหรือน้อยครั้งเพียงใด เป็นการประเมินผลความคุ้มค่าที่ลึกเข้าไปในเนื้อหา
ของทรัพยากรสารสนเทศชิ้นนั้น ๆ โดยจะต่อเนื่องสัมพันธ์โดยตรงกับรายละเอียดในข้อ 1.1
ที่กล่าวมาแล้วนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ในการดำเนินงานของศูนย์สารสนเทศทั้งหลาย ยังมีบริการที่ขาดระบบบันทึกสถิติการใช้ทรัพยากรสารสนเทศ ทำให้สถิติการใช้ไม่ครอบคลุมทั่วถึง บิดเบือน
ไม่ตรงตามปริมาณการใช้ประโยชน์จริง ตัวอย่างเช่นบริการหนังสือพิมพ์ บริการวารสารฉบับใหม่
บริการหนังสืออ้างอิง บริการทรัพยากรสารสนเทศในศูนย์สารนิเทศอีสานสิรินธร (กรณีสำนักวิทย-บริการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม) บริการหนังสือสำรอง หรือแม้แต่บริการหนังสือหมุนเวียนธรรมดาซึ่งมีระบบบันทึกสถิติการยืมอยู่แล้ว แต่ก็มีเฉพาะการยืมออกนอกศูนย์สารสนเทศเท่านั้น
หากเป็นการหยิบออกจากชั้นมาใช้ภายในศูนย์สารสนเทศ ก็จะขาดสถิติการใช้นี้ ซึ่งย่อมจะมีจำนวนการใช้แบบนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว
ดังนั้น ศูนย์สารสนเทศจะต้องจัดทำระบบเก็บสถิติการใช้ ให้ครอบคลุมทั่วถึงตามจริง จึงจะนำผลจากสถิติการใช้ไปเป็นข้อวินิจฉัยได้อย่างแท้จริง
2.4 วิจัยผู้ใช้ เป็นการศึกษาข้อมูลจากผู้ใช้อย่างเป็นระบบในเชิงวิจัย เช่น
วิจัยความพึงพอใจในการใช้ทรัพยากรสารสนเทศ วิจัยความสอดคล้องของเนื้อหาทรัพยากรสารสนเทศกับหลักสูตร วิจัยความครอบคลุมและเพียงพอของทรัพยากรสารสนเทศ วิจัยความทนทานคุ้มค่าของทรัพยากรสารสนเทศ ฯลฯ
หลักและวิธีประเมินคุณค่าทรัพยากรสารสนเทศ
1. ให้ได้ทรัพยากรสารสนเทศอย่างหลากหลายประเภท/ชนิด
2. ให้ได้ทรัพยากรสารสนเทศอย่างหลากหลายเนื้อหาสาระ
3. ให้ได้ทรัพยากรสารสนเทศที่เหมาะสมกับผู้ใช้ของศูนย์สารสนเทศนั้น ๆ
4. ให้ได้ทรัพยากรสารสนเทศที่ตรงตามความต้องการของผู้ใช้
5. ให้ได้ทรัพยากรสารสนเทศที่ทนทาน
6. ให้ได้ทรัพยากรสารสนเทศที่คุ้มค่า
การเลือกทรัพยากรสารสนเทศ
ความสำคัญของการเลือกทรัพยากรสารสนเทศ
การเลือกทรัพยากรสารสนเทศเป็นงานที่ต้องทำก่อนการจัดหาซึ่งเป็นขั้นตอนการตัดสินใจ
เลือกสรรทรัพยากรให้ตรงตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาห้องสมุด เป็นงานที่ต้องทำเป็นประจำ
ต่อเนื่องกัน ต้องอาศัยทั้งความรู้ ความชำนาญ และประสบการณ์ของบรรณารักษ์ที่จะศึกษา และ
พิจารณาตรวจสอบทรัพยากรสารสนเทศที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก แม้งานเลือกทรัพยากรจะเป็นงานที่ค่อน
ข้างยุ่งยาก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นงานที่สนุก และท้าทายความรู้ความสามารถของบรรณารักษ์เป็นอย่างยิ่ง
ในปัจจุบันอุตสาหกรรมการพิมพ์เจริญก้าวหน้ามากสำนักพิมพ์ต่างๆได้ผลิตสิ่งพิมพ์ และสื่อห้องสมุดเป็นจำนวนมาก ในขณะที่ห้องสมุดมีงบประมาณ สถานที่เก็บ และบุคลากรจำนวนจำกัด ไม่สามารถจัดซื้อหนังสือหรือสิ่งพิมพ์อื่นๆ ได้ทุกเล่ม ทุกฉบับ ทำให้จำเป็นต้องเลือกทรัพยากรบางรายการที่จำเป็น เหมาะสมและตรงกับความต้องการของผู้ใช้ห้องสมุดให้มากที่สุด หอสมุดแห่งชาติซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญของประเทศ คำนึงถึงความสำคัญในการเลือกทรัพยากรสารสนเทศที่สามารถใช้ให้เป็นประโยชน์และคุ้มค่าที่สุด
เหตุผลที่ต้องมีการเลือกทรัพยากรสารสนเทศ
ในการเลือกทรัพยากรสารสนเทศเพื่อให้บริการในศูนย์วิทยบริการบรรณารักษ์จะต้องพิจารณาจากปัจจัย ดังนี้
๑. ความต้องการของผู้ใช้บริการ เลือกทรัพยากรที่พิจารณาแล้วว่าตรงกับความต้องการของผู้ใช้บริการมากที่สุด มีความหลากหลายสาขาวิชา ผู้ปฏิบัติงานด้านนี้ต้องศึกษาหาความรู้ตลอดเวลารู้ความเคลื่อนไหวของตลาดหนังสือ กระแสความนิยมในการอ่านเรื่องใหม่ๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลอันจะเป็นแนวทางในการเลือกทรัพยากรที่ทันสมัยและคุ้มค่า
๒. ปริมาณ ในปัจจุบันมีการผลิตหนังสือและทรัพยากรสารสนเทศอื่นๆ จำนวนมากมาย ไม่จำเป็นต้องรวบรวมทรัพยากรเหล่านั้นให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เพราะเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ เพิ่มภาระหน้าที่แก่เจ้าหน้าที่ห้องสมุดในการดูแลรักษาทรัพยากรสารสนเทศบางรายการที่ไม่มีผู้ใช้
๓. คุณภาพของทรัพยากรสารสนเทศ ทรัพยากรที่ผลิตมีคุณภาพแตกต่างกัน มีทั้งดี และไม่ดีปะปนกัน ต้องเลือกทรัพยากรสารสนเทศที่ดีที่สุด มีความถูกต้อง เชื่อถือได้ ทันสมัย ให้ประโยชน์และเหมาะสมกับผู้ใช้ห้องสมุด
๔. งบประมาณ ห้องสมุดจะได้รับงบประมาณจำกัด ดังนั้นการจัดหาจึงต้องเลือกด้วยความรอบคอบ เพื่อให้มีทรัพยากรครบถ้วนทุกสาขาวิชา สมดุลกับความต้องการขอผู้ใช้ และให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ใช้มากที่สุด ไม่ให้เกิดการสูญเปล่าคือซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้หรือใช้ไม่คุ้มค่า
หลักเกณฑ์ในการเลือกทรัพยากรสารสนเทศ
๑. เลือกทรัพยากรสารสนเทศที่ให้ประโยชน์ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ และนโยบายในการเลือกทรัพยากรสารสนเทศของหอสมุดแห่งชาติ
๒. เลือกทรัพยากรสารสนเทศให้ครอบคลุมทุกสาขาวิชา ให้ได้สัดส่วนสมดุลกัน ทุกสาขาวิชา
๓. พิจารณาเลือกทรัพยากรสารสนเทศให้สามารถสนองความต้องการของผู้ใช้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะการเลือกตามข้อเสนอแนะของผู้ใช้ห้องสมุด
๔. พิจารณาคุณค่าของทรัพยากรสารสนเทศที่มีความถูกต้อง เชื่อถือได้ ทันสมัย มีความเป็นเลิศ และดีเด่นในสาขาวิชานั้น ๆ
๕. เลือกทรัพยากรสารสนเทศด้วยความเที่ยงธรรม ไม่ลำเอียง
๖. ไม่เลือกทรัพยากรสารสนเทศที่เป็นพิษเป็นภัยต่อสังคม หรือขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน
๗. เลือกหนังสือที่ผู้เขียนและผู้เกี่ยวข้องในการผลิตมีความชำนาญ มีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับในสาขาวิชาชีพนั้นๆ
๘. คำนึงถึงเรื่องงบประมาณ และการจัดสรรงบประมาณด้วย ถ้ามีงบประมาณจำกัด เลือกเฉพาะทรัพยากรสารสนเทศที่ดีที่สุด และความจำเป็นมากน้อยตามลำดับ
๙. เลือกหนังสือที่ได้รับรางวัลจากองค์กร สมาคม ในวิชาชีพนั้น
๑๐. เลือกหนังสือที่มีฉบับพิมพ์ใหม่ล่าสุด แต่ไม่จำเป็นต้องซื้อทุกครั้งที่มีการพิมพ์ใหม่ ถ้ามีเนื้อหาเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อย
การศึกษาความสนใจและความต้องการของผู้ใช้
๑. ให้ผู้ใช้เสนอรายชื่อทรัพยากรสารสนเทศที่ต้องการ โดยให้เขียนเสนอแนะแล้วนำไปใส่กล่องที่ห้องสมุดจัดเตรียมไว้ก็ได้
๒. การให้ตอบแบบสอบถาม เป็นวิธีการศึกษาที่เป็นทางการมากที่สุด โดยบรรณารักษ์สร้างแบบสอบถาม และขอความร่วมมือจากผู้ที่มาใช้บริการเป็นประจำให้ช่วยตอบ เมื่อได้รับแบบสอบถามคืนแล้วก็นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ จะทำให้ทราบถึงรสนิยม ความสนใจ และความต้องการของผู้ใช้บริการ
ปัญหาในการเลือกทรัพยากรสารสนเทศ
๑. ไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับร้านจำหน่ายหนังสือมากพอ ทำให้ห้องสมุดขาดข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกและการติดต่อกับร้านจำหน่ายหนังสือ
๒. เครื่องมือในการเลือกหนังสือของไทยที่ใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริงมีน้อย ไม่สมบูรณ์ หรือไม่ทันสมัย
๓. การเลือกหนังสือภาษาต่างประเทศ จากรายการหนังสือโดยไม่เห็นตัวเล่มจริงนั้นทำได้ยากแม้ว่าจะมีบรรณนิทัศน์ แต่บางครั้งมีรายละเอียดไม่เพียงพอ ทำให้ได้หนังสือที่มีเนื้อหาไม่ตรงกับความต้องการจริงๆ และหนังสือส่วนใหญ่มีราคาแพงอาจใช้ประโยชน์ได้ไม่คุ้มค่า
เครื่องมือช่วยเลือกทรัพยากรสารสนเทศ
เครื่องมือช่วยเลือกทรัพยากรสารสนเทศ เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่จะช่วยให้บรรณารักษ์ทราบความเคลื่อนไหวและรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับทรัพยากรสารสนเทศ เพื่อนำมาใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกทรัพยากรสารสนเทศที่มีคุณค่า ทันสมัย และตรงตามความต้องการของผู้ใช้ให้มากที่สุด ทรัพยากรสารสนเทศบางรายการผู้เลือกไม่มีโอกาสได้เห็นของจริงหรือประเมินคุณค่ามาก่อน ดังนั้นผู้รับผิดชอบในการเลือก และจัดหาทรัพยากรสารสนเทศจำเป็นต้องศึกษา และรู้จักใช้เครื่องมือช่วยในการเลือกทรัพยากรสารสนเทศประเภทต่างๆ มาประกอบการพิจารณาเลือกได้อย่างเหมาะสมและถูกต้อง
การจัดหาทรัพยากรสารสนเทศ
ศูนย์วิทยบริการมีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดหาทรัพยากรสารสนเทศโดยคำนึงถึงเป้าหมายสำคัญ ๒ ประการ คือ
๑. เพื่อให้เป็นแหล่งกลางในการให้บริการความรู้ และการศึกษาค้นคว้าอย่างกว้างขวางแก่ประชาชนทุกระดับตลอดจนเป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับประเทศไทย
๒. เพื่อเป็นแหล่งกลางในการเก็บรวบรวมสิ่งพิมพ์ทุกชนิดที่ผลิตขึ้นในประเทศในฐานะที่เป็นสมบัติวัฒนธรรมทางสติปัญญาของคนในชาติตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
วัตถุประสงค์ในการจัดหาทรัพยากรสารสนเทศ
๑. จัดหา รวบรวม จัดเก็บรักษาและเผยแพร่ทรัพยากรสารสนเทศ ให้สอดคล้องกับภารกิจหลักของนโยบาย
๒. จัดหาทรัพยากรสารสนเทศทั้งประเภทสิ่งตีพิมพ์และไม่ตีพิมพ์ ได้แก่ หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ สื่อโสตทัศน์ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์
๓. วางแผนและควบคุมการใช้งบประมาณในการจัดหาทรัพยากรสารสนเทศภายในวงเงินงบประมาณที่ได้รับ
ผู้รับผิดชอบในการจัดหาทรัพยากรสารสนเทศ
๑. ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในการจัดหาทรัพยากรสารสนเทศ คือ บรรณารักษ์ กลุ่มพัฒนาทรัพยากรสารสนเทศ สำนักหอสมุดแห่งชาติ
๒. ผู้ที่รับผิดชอบในการเสนอแนะทรัพยากรสารสนเทศ ได้แก่ ผู้ใช้บริการห้องสมุด บรรณารักษ์
และเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริการ และบุคลากรอื่นๆ ของหอสมุดแห่งชาติ
แนวทางการจัดหาทรัพยากรสารสนเทศ
๑. การจัดซื้อด้วยเงินงบประมาณ
๒.ได้รับสิ่งพิมพ์ตามพระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๕๐
๓.การขอหรือได้รับบริจาค
๔.ได้รับจากหน่วยงานราชการ
การแลกเปลี่ยน
๑. การจัดซื้อด้วยเงินงบประมาณ
การจัดซื้อเป็นวิธีการที่หอสมุดแห่งชาติใช้ในการจัดหาทรัพยากรสารสนเทศ เพื่อเพิ่มพูน
ทรัพยากรสารสนเทศที่ยังไม่มีในห้องสมุด โดยกำหนดเป็นนโยบายการจัดซื้อทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อ
โสตทัศน์ตามนโยบายการจัดหาแต่ละปี และตามความต้องการของผู้ใช้ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
เกณฑ์การจัดซื้อทรัพยากรสารสนเทศ
๑.จัดซื้อทรัพยากรสารสนเทศให้ครอบคลุมทุกสาขาวิชาให้ได้สัดส่วนสมดุลกับ
งบประมาณที่จัดสรรให้ ถ้ามีงบประมาณจำกัดจะคัดเลือกเล่มที่มีความสำคัญ และจำเป็นมากน้อยตามลำดับ
๒.จัดซื้อทรัพยากรสารสนเทศที่ตรงความต้องการของผู้ใช้ทั้งในปัจจุบัน และอนาคต
๓.เน้นการจัดซื้อสื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อโสตทัศน์
๔.จัดซื้อทรัพยากรสารสนเทศสำหรับผู้ใช้ระดับมัธยมศึกษาขึ้นไป
๕.จัดซื้อทรัพยากรสารสนเทศทั้งภาษาไทย และภาษาต่างประเทศ สำหรับหนังสือภาษาต่างประเทศจะพิจารณาจัดซื้อฉบับปกอ่อนก่อน และปีพิมพ์ย้อนหลังไม่เกิน ๕ ปี ไม่จัดซื้อ
วิธีการจัดซื้อหนังสือและสิ่งพิมพ์อื่นๆ
ศูนย์วิทยบริการจัดซื้อทรัพยากรสารสนเทศ ๓ วิธีด้วยกัน คือ
๑จัดซื้อโดยวิธีเปิดซองสอบราคา ปีละ ๑ ครั้ง
๒จัดซื้อโดยวิธีตกลงราคา
๓ขั้นตอนการจัดซื้อโดยวิธีเปิดซองสอบราคา
เกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณาคัดเลือก ดังนี้
๑.พิจารณาจากสภาพทางกายภาพของหนังสือ
๑.๑ สะอาด ไม่มีรอยขีดข่วน เช่น การขีดเส้นใต้ หรือขีดเขียนเส้นในตัวเล่ม
๑.๒ สภาพปกเรียบร้อย ไม่มีรอยฉีกขาด
๑.๓ กระดาษไม่เหลืองกรอบ หรือเปียกชื้น
๑.๔ ไม่มีเชื้อรา
๒.พิจารณาจากเนื้อหา ควรคำนึงถึงเนื้อหาที่สอดคล้องกับนโยบายของหอสมุดแห่งชาติ ถูกต้อง
และเป็นปัจจุบัน อาจเป็นหนังสือที่จัดพิมพ์ใหม่หรือหนังสือฉบับเก่าที่บรรณารักษ์พิจารณาแล้วเห็นว่ามีคุณค่าควรแก่การจัดหาไว้ในห้องสมุด เนื้อหาวิชาที่มีการเปลี่ยนแปลง และต้องมีความทันสมัย เช่น คอมพิวเตอร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ควรพิจารณาเป็นพิเศษ
๓หนังสือฉบับซ้ำ กรณีที่หนังสือเล่มนั้นๆ มีผู้นิยมใช้มาก หรือเป็นหนังสืออ้างอิง เช่น พจนานุกรม สารานุกรม พิจารณาเลือกให้บริการซ้ำได้
สรุป
การจัดหาทรัยากรสารสนเทศ (Acquisition) หมายถึง วิธีการต่างๆ เพื่อให้ได้มาและเพิ่มเติมทรัพยากรสารสนเทศในห้องสมุดและศูนย์สารสนเทศ ซึ่งการจัดหาทรัยากรสื่อของห้องสมุดโดยทั่วไป จะกระทำใน 2 ลักษณะ คือ การจัดหาทรัยากรสารสนเทศที่เป็นมาตรฐาน และการจัดหาทรัยากรสารสนเทศ
ในสาขาวิชาต่าง ๆ ให้ทันสมัยอยู่เสมอ วิธีการจัดหาทรัยากรสื่อเข้าห้องสมุดเพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้นั้น วิธีที่ใช้
เป็นส่วนใหญ่มี 5 วิธี ได้แก่ การจัดซื้อ การขอและรับบริจาค การแลกเปลี่ยน การบอกรับ และการผลิตหรือจัดทำขึ้นเอง ทั้งนี้บรรณารักษ์ที่ทำหน้าที่จัดหาควรติดตามความเคลื่อนไหวของทรัพยากรสารสนเทศที่ผลิตขึ้นมาใหม่อยู่เสมอ และกว้างขวางในการเสาะแสวงหาแหล่งที่สามารถขอรับบริจาคทรัพยากรสารสนเทศได้ รวมทั้งการก้าวทันเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีบทบาทอย่างมากต่อการจัดหาในปัจจุบัน ทั้งที่ใช้เป็นเครื่องมือ การปฏิบัติงาน และการผลิตหรือจัดทำทรัพยากรสารสนเทศของห้องสมุด
http://www.elearning.msu.ac.th
http://www.elearning.msu.ac.th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น